รอง ผบช.ภาค 5 ติง การกวาดล้างปราบปรามยาเสพติดแล้วเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นลุงวัย75 หน้าร้านสะดวกซื้อจับต้องถอดกางเกง หน้าที่สาธารณะ ไม่เหมาะสม ควรจะหาที่ลับตาหรือในห้องน้ำ ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ผู้ถูกตรวจค้นไม่ติดใจ ถือว่า รอดตัวไป คราวหน้าควรกระทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
จากกรณี ปรากฎคลิปและข่าวออกมาทางโลกโชเซียล ว่ามีชายฉกรรจ์ ไม่ทราบว่าเป็นตำรวจจริงหรือตำรวจปลอมเข้าไปขอตรวจค้น กลุ่มผู้ต้องสงสัย บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งในเขต สภ.แม่ปิง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในคลิปมีชายฉกรรจ์จำนวน 3 คน เข้ามาที่หน้าร้านสะดวกซื้อแล้วขอตรวจค้น ลุงวัย 75 ปี ซึ่งเป็น รปภ. เนื่องจากสงสัยว่าลุงและพรรคพวก ที่นั่งคุยกันนั้นอาจจะมีสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งไม่เหมาะสม มีการวิพากวิจารณ์ อย่างกว้างขว้าง ทางตำรวจก็ได้รายงานถึงการปฏิบัติหน้าท่ีตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ในการกวาดล้างปราบปรามยาเสพติดในช่วงระดมกำลังกวาดล้าง ส่วนผู้ถูกตรวจค้นตอนแรกก็แจ้งความเอาเรื่อง ต่อมาก็ไม่ติดใจเอาความ เมื่อตำรวจไปชี้แจงข้อเท็จจริงและยอมรับว่าเป็นตำรวจจริง ตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น
ข่าวคืบหน้าเมื่อเวลา 14.30 น วันที่ 30 กค 62 ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ต.ภาณุเดช บุญเรือง รอง ผบช.ภาค 5 ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงเรื่องนี้ เมื่อได้เห็นคลิปจากภาพวงจรปิดตอนเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้น ลุง รปภ.หน้าเซเว่น ว่า การตรวจค้นบุคคลนั้นขึ้นอยู่กับความยินยอม เอาเหตุของการยินยอม ส่วนใหญ่ก็จะยินยอมให้ตรวจค้น การตรวจค้นอย่างละเอียดนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมีการซุกซ่อน ตัวอย่างเจ้าหน้าที่ที่ด่าน หากจะตรวจผู้หญิงก็จะนำผู้หญิงเข้าไปในห้องลับและให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงเป็นผู้ตรวจ หมายถึงที่ด่านนั้น จะตรวจสอบพวกที่จะเดินทางไปในทางไกลและมีการซุกซ่อนทั้งในช่องคลอด ในทวาร หรือในตัว แต่คลิปการตรวจสอบ รปภ.นั้นเป็นการตรวจสอบตรวจค้นในพื้นที่ ไม่ได้ตั้งด่าน การตรวจแบบนี้ น่าจะนำตัวไปตรวจค้นในที่ลับตาคนและให้มีพยานด้วย ให้ลับตาผู้คน
การตรวจค้น ลุง รปภ.หน้าเซเว่น ดูแล้วไม่เหมาะสม คือ ทุกอย่างก็ต้องให้อยู่ในกรอบของกฏหมาย ไม่ว่าการค้น ,เรียกค้น,การสอบสวน,การซักถาม ทุกอย่างมีอำนาจหน้าที่ทำได้ แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบของกฏหมาย และเจ้าหน้าที่เองต้องคำนึงถึงเรื่องสิทธิฯ เป็นประการแรกเลย พล.ต.ต.ภาณุเดช บุญเรือง รอง ผบช.ภาค 5 เผย
อย่างไรก็ตามในคดีนี้ทางคุณลุง รปภ.ได้รับคำรับทราบการทำงานของตำรวจแล้วและรู้ว่าเป็นตำรวจจริงแล้ว ในการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงนั้น ก็ไม่ได้ติดใจเอาความแต่อย่างใด สาเหตุที่แจ้งความตอนแรกเพราะไม่รู้ว่าเป็นตำรวจ และเมื่อทราบว่าเป็นตำรวจจริงและเป็นการปฏิบัติการและทางตำรวจก็ได้ชี้แจงจนเป็นที่เข้าใจแล้ว คุณลุงก็ไม่ติดใจเอาความ
