เชียงใหม่ กรมสุขภาพจิตจัดทีมพร้อมดูแลสภาพจิตใจของ13คนติดถ้ำทันทีที่ออกมา

กรมสุขภาพจิต โดยทีมเยียวยาจิตใจของผู้ประสบภัยในภาวะวิกฤติ หรือ MCATT ของโรงพยาบาลสวนปรุงเชียงใหม่ พร้อมเข้าดูแลสภาพจิตใจของทั้ง 13 คนที่ติดในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ทันทีที่สามารถนำตัวออกมาได้ เบื้องต้นหลังเห็นคลิปภาพของทั้ง 13 คนมั่นใจไม่มีใครมีสภาพจิตใจที่อยู่ในขั้นวิกฤติ ส่วนญาติมีทีมลงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 23 แล้วแม้ว่าทางทีมเจ้าหน้าที่สามารถเจอตัวของทั้ง 13 คนที่สูญหายไปในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย แล้ว ซึ่งผ่านมากว่า 10 วันแล้วแต่ยังไม่สามารถนำตัวออกมาจากถ้ำได้จากสภาพร่างกายที่อ่อนแรง และต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยโดยมีเจ้าหน้าที่ และทีมแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด ล่าสุดมีคลิปภาพของทั้ง 13 คนจากหน่วยซีลเผยแพร่ออกมาหลังได้รับประทานอาหาร และน้ำ รวมทั้งเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งมีการปฐมพยาบาล ให้ทั้ง 13 คน พร้อมกับการแนะนำตัวและกล่าวทักทายและยืนยันว่าแข็งแรงดีอยู่ ทั้งนี้ในส่วนเรื่องของสภาพจิตใจที่หลายคนเป็นห่วงนั้น ล่าสุดมีความคืบหน้ากรณีการเตรียมความพร้อมดูแลสุขภาพจิตของทั้ง 13 คน จากทางกรมสุขภาพจิตที่มอบหมายให้ทางทีมเยียวยาจิตใจของผู้ประสบภัยในภาวะวิกฤติ หรือ MCATT  จากโรงพยาบาลสวนปรุง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นชุดเฉพาะกิจจากสหวิชาชีพด้านแพทย์ และจิตแพทย์ ประสานงานกับหน่วยแพทย์ในพื้นที่ดูแลซึ่งทางด้าน นายแพทย์ธรณินทร์ กองสุข ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุงเปิดเผยว่า ล่าสุดได้มีการประชุมวางแผนเตรียมความพร้อมในการดูแลสภาพจิตใจของผู้ที่ติดอยู่ในถ้ำทั้ง 13 คน ในวันทีที่ได้รับการช่วยเหลือออกมามาจากถ้ำหลวง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ส่งทีม MCATT ลงพื้นที่ดูแลสภาพจิตในของญาติผู้สูญหายมาตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายนแล้ว ซึ่งเบื้องต้นพบว่าได้รวมกลุ่มกันติดตามสถานการณ์ทำให้ทางทีม MCATT สามารถดูแลสภาพจิตใจได้อย่างใกล้ชิด และพบว่ามีญาติป่วยจากสภาพจิตใจจำนวน 6 คนจากญาติ 52 คน ซึ่งก็ได้รับการดูแลเยียวยาและส่งตัวรักษาพยาบาลจนหายแล้วในส่วนของเด็ก 12 คนพร้อมโค้ช ในตอนนี้ได้ประสานกับทางหน่วยแพทย์ในพื้นที่ ซึ่งทราบว่าจะส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ทันทีที่รับการเยียวยาทางร่างกายก็พร้อม ในส่วนของการดูแลสภาพจิตใจก็จะทำการประเมินสภาพจิตใจของเด็ก รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยบกพร่องที่เกี่ยวข้องกับภาวะจิตใจหลังประสบเหตุการณ์ครั้งนี้ หลังประเมินเสร็จก็จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อดำเนินการช่วยเหลือนอกจากนี้แล้วยังมีกิจกรรมที่อยากทำให้กับเด็กทั้งหมดคือให้สามารถปรับตัวและรับรู้กับสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา เนื่องจากเด็กคงไม่ทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นอย่างไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมีทั้งด้านบวกและด้านลบ จึงต้องพยายามสื่อสารกับเด็กให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะในด้านบวก เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้จะส่งผลต่อเด็กในอนาคต โดยกิจกรรมที่ทำคือเรื่องของการปรับสภาพจิตใจ สร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ และสิ่งที่ทางทีมเยียวยาจิตใจของผู้ประสบภัย คิดถึงปัญหาที่จะตามมาอีกคือ สภาพจิตใจหลังประสบภาวะวิกฤติที่อาจเกิดความเจ็บป่วยทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือภาวะเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์วิกฤติ ซึ่งทางทีมจะมีการคัดกรองและเฝ้าระวัง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนปรุง กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ปัญหาที่ตามมาอีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องของการถามซ้ำๆ โดยเฉพาะจากสื่อที่มีความน่าเป็นห่วงมากที่สุด หากสื่อไม่มีความระมัดระวังไปถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในด้านลบหลายครั้งมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลทำให้เด็กนึกภาพเหล่านั้นซ้ำๆ ส่งผลเป็นอุปสรรค์ต่อการฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด้กในระยะยาว โดยในส่วนนี้ ทางทีมกำลังวางแผนว่าจะแก้ไขอย่างไร และอยากแนะให้ทุกสื่อสัมภาษณ์เด็กในครั้งเดียว มีการคัดกรองคำถาม หรือสัมภาษณ์ในแบบที่ไม่ตอกย้ำกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะดีมาก อย่างไรก็ตามในอนาคตระยะยาวเด็กก็อาจจะยังถูกคำถามเป้นระยะๆ ดังนั้นทางทีมเยียวยาจิตใจของผู้ประสบภัย วางแผนไว้ว่าจะเตรียมการให้ข้อมูลกับเด้กในการให้สัมภาษณ์ตามความเหมาะสมกับสภาพจิตใจของเด็ก พร้อมทั้งจะได้มีการเฝ้าติดตาม ประเมินสภาวะเด็กที่มีภาวะความเครียดเพิ่มขึ้นหรือลดลง หลังกลับสู่ชุมชนโดยตามแผนที่วางไว้จะอยู่ในระยะ 6 เดือน อย่างไรก็ตามในฐานะทีมแพทย์ทางด้านจิตเวชเมื่อได้เห็นคลิปล่าสุดของทั้ง 13 คนจากหน่วยซีล ซึ่งสังเกตุเห็นว่าแม้สภาพร่างกายจะอ่อนแรง แต่ในส่วนของสภาพจิตใจค่อยข้างมั่นใจว่าทั้ง 13 คนไม่น่าจะมีใครมีอาการทางด้านจิตใจน่าเป็นห่วงจนถึงขั้นวิกฤติ ก่อนหน้านี้แม้จะตั้งการประเมินว่าน่าจะได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจมากกว่านี้ แต่เชื่อว่าด้วยการที่ทั้ง 13 คนอยู่รวมกัน มีผู้ใหญ่ที่เป้นโค้ช พุดคุยเป้นผู้นำทำให้สภาตจิตใจของทั้ง 13 คน ถือว่าเป็นที่น่ายินดีที่ไม่มีใครมีการซึมเศร้า หรือวิตกกังวลจนน่าเป็นห่วง