
สวัสดีบรรดาพี่น้องแฟนเพจ “กูรูเชียงใหม่ เรื่องเชียงใหม่กูรู้”
วันนี้ผมจะนำเอาประสบการณ์ท่องเที่ยวต่างแดนมาเล่าสู่กันฟังในสไตล์ลุยๆ ผจญภัยบนเทือกเขาหิมาลัย ที่ครั่งหนึ่งในชีวิตผมได้มีโอกาส บินลัดฟ้าไปตะลุยมา ณ. ประเทศเนปาล ซึ่งเมื่อพูดถึงประเทศนี้ ดินแดนขึ้นชื่อสวรรค์ของนักเดินเขาและผู้ชื่นชอบการผจญภัยก็จะต้องรู้จักกันแน่นอน เพราะปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ยอมเสียสละทั้งเวลาและทุนทรัพย์เพื่อเดินทางมาพิสูจน์ร่างกายและจิตใจ รวมทั้งแลกกับประสบการณ์ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้ไปยืนบนหลังคาโลก และที่ๆ ผมพูดถึงนี่คือ “Annapurna Base Camp”
ซึ่งเป็นจุดหนึ่งบนเทือกเขาหิมาลัยที่มีความสูงถึง 4,130 เมตร จากระดับน้ำทะเล และเป็นจุดชมวิวที่มีเทือกเขาล้อมรอบสวยงาม ปานดั่งดินแดนสวรรค์ แต่การจะไปถึงยังจุดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เพราะทางเดินสู่ดินแดนสวรรค์ที่ผมพูดถึงนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เดิน 2-3 ชม.ถึง แต่ระยะทางและเวลาที่ผมเดินทางขึ้นไปนั่นยาวนานถึง 4 วัน และยังต้องเดินกลับลงมาอีก 3 วัน แถมต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งกว่าจะเก็บรูปภาพและวิวทิวทัศน์สุดแสนสวยงามมาฝากกันนั้นก็ทำเอาแข้งลากเหมือนกัน เรียกได้ว่าเดินจนผอมกันเลยทีเดียว แต่ถามว่าคุ้มหรือไม่กับสิ่งที่ได้มานั้น เรียกได้ว่าคุ้มเกินคุ้มเลยก็ว่าได้จ้า และสำหรับการรีวิวครั้งนี้ผมจะขอบอกเล่าเรื่องราวในแต่ละวันที่เดินทางตั้งแต่ต้นจนจบ อาจจะยาวหน่อย แต่รับรองว่ามีประโยชน์แน่นอนสำหรับผู้ที่สนใจอยากลองพิสูจน์ตัวเองและไปตามฝันอย่างผมบ้าง
มาเริ่มกันที่ต้นเรื่องของการเดินทางในครั้งนี้กันเลย ซึ่งถ้าหากพูดถึงเทือกเขาที่สูงที่สุดติดอันดับต้นๆ ของโลก ก็คงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักจักรพรรดิยักษ์ใหญ่อย่างเทือกเขาหิมาลัยแน่นอน แต่การจะพิชิตเทือกเขานี้นั้นบอกเลยว่าคุณต้องมีทั้งเวลา ทุนทรัพย์ และสภาพร่างกายที่แข็งแรงมากๆ ดังนั้นแค่ได้มีโอกาสไปเหยียบแค่ครึ่งทางของหิมาลัย เราก็ว่าคุ้มแล้วในชีวิตนี้ ซึ่ง “Annapurna Base Camp”
จัดได้ว่าเป็น Base Camp ที่ตอบโจทย์มากที่สุดสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ โดยการเดินทางนั่น ผมเริ่มจากการศึกษาข้อมูลวิธีการไปก่อนเลย ซึ่งนั้นคือเราต้องทำเรื่องขอวีซ่าจากทางประเทศเนปาล เพื่อเดินทางเข้าประเทศก่อนเป็นอย่างแรก โดยวีซ่านั่นจะต้องกรอกรายละเอียดข้อมูลต่างๆ อย่างชัดเจน แล้วนำไปยื่นให้กับสถานฑูตของเนปาลในไทย โดยมีค่าธรรมเนียม 900 บาท สำหรับผมขอทำเรื่องเข้าประเทศทั้งหมด 15 วัน เมื่อดำเนินการเสร็จแล้วในส่วนของการขอวีซ่า สิ่งที่ต้องเตรียมขั้นตอนต่อไปคือการซื้อทัวร์
ซึ่งตรงนี้ผมได้ทัวร์ของบริษัท ADVENTURE HIMALAYA CIRCUIT TREKS โดยมีค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางและไกด์นำทาง ลูกหาบ รวมไปถึงที่พัก อาหาร และบริการต่างๆ ตลอดการเดินทาง 10 วัน รวมทั้งหมด 550 USD. โดยราคานั้นอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เพราะการจ้างไกด์และลูกหาบเดินทางไปด้วยนั้นถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะการเดินป่าเช่นนี้ เพราะมีนักท่องเที่ยวหลายรายที่ไม่จ้างไกด์
แล้วเดินทางไปเองเกิดหายตัวไประหว่างทางมาแล้ว และลูกหาบยังช่วยขนของให้เราในแต่ละวันทำให้เราไม่ต้องแบกของทั้งหมดที่รวมแล้วกว่า 20 กิโลฯ ขึ้นไปเอง จะแบกไปก็แค่ของใช้ส่วนตัวระหว่างทาง อุปกรณ์ถ่ายภาพ อาหาร และน้ำดื่มเท่านั้น นอกจากนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง แนะนำให้ซื้อประกันที่คุ้มครองระหว่างการเดินทางไว้ด้วยก็จะดีมาก เพราะมันจะช่วยคุ้มครองเราหากเกิดอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง ซึ่งตรงประกันนี้ผมซื้อของ AIG ในราคา 690 บาท ส่วนรายละเอียดประกันก็สามารถศึกษาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของบริษัทเลย
สำหรับตั๋วเครื่องบินที่พาผมบินลัดฟ้าสู่ดินแดนแห่งนี้ไม่ใช่การบินตรง เพราะผมต้องขึ้นเครื่องจากเชียงใหม่ ด้วยสายการบิน AirAsia ไปลงยัง สนามบิน Kuala Lumpur ที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อรอต่อเครื่องจากสนามบิน Kuala Lumpur มายัง สนามบิน Kathmandu ที่ประเทศเนปาล ด้วยสายการบิน Nepal Airlines ซึ่งตรงนี้บอกเลยว่าตื่นเต้นตั้งแต่ขึ้นบินแล้ว เพราะเมื่อผมอยู่บนเครื่องนั่งมายาวนานกว่า 4 ชั่วโมง
กระทั้งเข้าสู่เขตประเทศเนปาล สิ่งแรกที่ผมได้เห็นด้วยสองตาคือ ยอดเทือกเขาเอเวอร์เรส และบรรดาเทือกเขาบริวาร ที่สูงตระหง่านทะลุเหนือเมฆขึ้นมาจนสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน จนผมอดใจไม่ไหวต้องหยิบกล้องแล้วขอคนนั่งข้างหน้าต่างเก็บภาพไว้ หลังจากการนั่งเครื่องมาจากประเทศมาเลเซียในที่สุดเท้าผมก็แตะผืนแผ่นดินของประเทศเนปาลได้สำเร็จ โดยได้รับการต้องรับอย่างดีจากไกด์บริษัททัวร์ที่ได้ทำการติดต่อไว้ ก่อนจะขึ้นรถโดยสารที่ทางบริษัททัวร์ได้จัดหาไว้มายังโรงแรมใน Kathmandu ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่ได้โรงแรมอยู่ในย่าน ทาเมล เป็นย่านที่สามารถหาซื้ออุปกรณ์การเดินทางที่เหลือเพื่อไปยัง “Annapurna Base Camp” โดยอุปกรณ์ที่นี่มีขายเรียกได้ว่าครบทุกอย่างหากใครที่เตรียมอุปกรณ์ไม่พร้อมหรือเกิดลืมก็สามารถมาหาซื้อได้
ขนาดผมที่ว่าเตรียมมาพร้อมแล้วยังซื้อเพิ่ม นอกจากนี้แล้วยังมีโอกาสได้เดินเท้า เที่ยวชมบรรยากาศบ้านเมืองของคนเนปาลใน Kathmandu อีกด้วย แต่ต้องบอกเลยว่าบ้านเมืองของเค้านั้นค่อนข้างวุ่นวายนิดหน่อย แถมสภาพอากาศและความเป็นอยู่นั้นค่อนข้างแย่ครับ เนื่องจาก Kathmandu นั้นเรียกได้ว่ามีฝุ่นควันเยอะมาก มากกว่าช่วงเกิดหมอกควันบ้านเราเสียอีก เพราะถนนและเส้นทางเดินรถส่วนใหญ่เป็นทางลูกรัง ถนนชำรุด แถมมีทั้งรถมอเตอร์ไซค์ จักรยาน และรถยนต์วิ่งไปมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เกิดฝุ่นตลบไปทั่ว แต่คนที่นี่เค้าก็อยู่กันได้ในแบบของเค้า จึงขอแนะนำเลยว่า ถ้าไม่อยากสูดฝุ่นเข้าไปแบบเต็มปอด ก่อนมาก็ควรเตรียมผ้าปิดปาก หรือผ้าบัฟที่ใช้ปิดหน้ามาด้วยจะดีมาก และหลังจากที่หาซื้อของเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้วผมก็ต้องพักที่ Kathmandu ก่อน 1 คืน เพื่อเตรียมเดินทางด้วยเครื่องบินเล็ก บินไปยัง Pokhara ในเช้าอีกวัน
DAY 1 : 14 เม.ย.61 #จุดเริ่มต้นของฝัน#
ผมเริ่มต้นด้วยการนั่งเครื่องบินเล็กของ Buddha Air เวลา 08.00 น. จากสนามบิน Kathmandu มุ่งหน้าลัดฟ้ามายัง สนามบิน Pokhara ซึ่งระยะห่างจาก 2 เมืองนี้ก็อยู่ราวๆ 200 กม. ตอนบินลัดฟ้ามาก็ตื่นเต้นแล้วครับ เพราะวิวทิวทัศน์เมื่อมองลงไปด้านล่างเป็นบ้านเมืองเค้าสวยงามมาก ออกมาได้ไม่นานก็เจอกับเทือกเขาหิมาลัยที่ตั้งตระหง่าน สังเกตเห็นชัดเต็ม 2 ตา เรียกได้ว่ามันอยู่แค่เอื้อมจริงๆ แต่ก็นะ การจะไปถึงอ้อมกอดนั้นก็ต้องลงทุนกันหน่อย พอนั่งมาได้ประมาณไม่ถึง 30 นาที ก็มาถึงสนามบิน Pokhara ลงมาก็สามารถมองเห็นยอดเขามัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) หรือ ยอดเขาหางปลา (Mt. Fishtail) ได้อย่างชัดเจน ซึ่งมัจฉาปูชเร นั้นถือเป็นยอดเขาที่สวยที่สุดของเทือกเขาอันนาปุรณะ (Annapurna) ที่ครั้งหนึ่งผมใฝ่ฝันไว้ว่า จะต้องไปยืนเผชิญหน้ากับยอดเขานี้ให้ได้ จนเมื่อมาถึงจุดนัดหมายก็พบกับไกด์และลูกหาบที่มารอรับเราที่สนามบินแห่งนี้ก่อนจะขึ้นรถและทำความรู้จักกัน จนกระทั่งมาถึงยังจุดที่เราต้องเดินเท้าแล้วครับ
แต่ต้องบอกเลยว่าแค่วันแรกก็แทบกระอักครับ กับการเทรคกิ้งสู่จุดหมายที่พักแรมจุดที่ 1 หลังจากนั่งรถจาก Pokhara และเริ่มเดินตั้งแต่ Nayapul (ความสูง 1,070 เมตร) ระยะทางราว 15 กิโลเมตร เพื่อมุ่งหน้ามายัง Ghandruk (ความสูง 1,940 เมตร) ที่ตลอดเส้นทางมีทั้งทางราดชัน และขั้นบันได ระยะเวลาการเดินประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งอันที่จริงจุดนี้สามารถนั่งรถมาได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่เดินเท้าสัมผัสบรรยากาศ และถือเป็นการทดสอบสภาพร่างกายของเราเอง
เพราะถ้าแค่เฟสแรกยังไม่ไหวก็อย่าหวังจะผ่าน 2-3 และ 4 รวมถึงเส้นทางก่อนถึง ABC อีกอย่างข้อดีของการเดินเท้านั้นมันจะได้เห็นวิวทิวทัศสวยงาม มีเวลาถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอด้วย แต่สภาพอากาศก็ใช่ว่าจะเป็นใจนะ ระหว่างเดินมาเจอหมดทุกฤดู แค่ด่านแรกก็เจอทั้งแดด ฝน ลม หนาว อย่างจุดค้างคืนตอนค่ำ สภาพอากาศประมาณ 10-12 องศาฯ โชคดีที่ห้องพักโรงแรมที่ผมพักนั้นโอเค มีน้ำอุ่น ผ้าห่ม และที่นอนค่อนข้างดี
#ข้อแนะนำ ควรวางแผนจัดกระเป๋าให้ดี อะไรที่ไม่ค่อยสำคัญควรฝากลูกหาบ อย่างเสื้อกันหนาวช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้ ชุดที่ ผมสวมใส่คือ เสื้อบอดี้ฟิต 1 ตัว เอาไว้กันแดด และซับเหงือ แล้วใส่เสื้อแขนสั้นทับ ท่อนล่างกางเกงเทรคบางๆ เบาๆ หรือใช้กางเกงผ้าร่มก็ได้ หมวกกันแดด ถุงเท้าใส่เน้นนุ่มรับน้ำหนักเท้า รองเท้าสำหรับเดินเทรค ส่วนกระเป๋าอุปกรณ์ที่ควรมีก็พวกแบตกล้องสำรอง พาวเวอร์แบงค์พร้อมสายชาร์จ น้ำดื่ม อันนี้สำคัญมาก
เพราะเดินมากต้องกินน้ำมาก สำหรับผมเตรียมไว้ 2 ขวดในการเดินทางแต่ละวัน แต่ถ้าหมดระหว่างทางก็มีให้เติมได้ตามจุดพักและร้านค้า โดยราคาก็อยู่ที่ขวดละราวๆ 80-100 รูปี แต่ถ้ายิ่งสูงขึ้นไป ราคาก็จะเพิ่มขึ้น ส่วนของที่เหลืออาจจะเตรียมขนมลูกอม ช็อคโกแลต ไว้กินเพิ่มพลังงานระหว่างทาง การเดินก็ค่อยๆ ไป เหนื่อยก็พัก เพราะร่างกายจะได้ไม่อ่อนเพลีย ระหว่างทางมีวิวสวยๆ ให้ชื่นชม และจะมีคนพื้นเมืองที่นี่คอยทักทายคุณตลอดด้วยคำว่า “นมัสเต”
โปรดติดตามตอนต่อไป
แบกเป้ไปเนปาล พิชิตหลังคาโลก “ANNAPURAN BASE CAMP” EP.2
————————————————————————————
ลิงค์ตอนที่ 2 : http://guruchiangmai.com/?p=1814