
อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร นำทีมทดสอบการประยุกต์ใช้อากาศยานติดตั้งอุปกรณ์พ่นละอองน้ำแรงดันสูงบินโปรยน้ำที่ระดับความสูง 2,500-2,700 เมตร เหนือตัวเมืองเชียงใหม่ ตั้งเป้าช่วยบรรเทาสถานการณ์วิกฤตฝุ่นควันPM2.5 ซึ่งมีความแตกต่างจากการฉีดพ่นน้ำธธรมดาอย่างที่หลายคนเข้าใจ
วันนี้(11 เม.ย.66) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำคณะลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมประชุมหารือโครงการศึกษาวิจัยเพื่อใช้อากาศยานกรมฝนหลวงและการบินเกษตรโปรยน้ำแรงดันสูงเพื่อกำจัดฝุ่นละออง PM 2.5 ร่วมกับนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และผู้บริหารกรมฝนหลวงและการบินเกษตร พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
ทั้งนี้นายสุพิศ เปิดเผยว่า ตามที่ขณะนี้บริเวณพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยได้ประสบปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศ หรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นจากการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารสัตว์ และการเพิ่มขึ้นของยานพาหนะที่ใช้ในการคมนาคมขนส่ง โดยส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศทั้งสิ้น แต่ปัจจัยหลักของการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในป่าและการเผาไหม้ชีวมวลจากในประเทศและประเทศข้างเคียง
โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาและหุบเขา จะพบจุดความร้อนและประสบกับปัญหาหมอกควันไฟป่ามากที่สุด ซึ่งมลพิษทางอากาศหรือฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกิดขึ้นจากสาเหตุดังกล่าวนั้น โดยทั่วไปจะเกิดในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายนที่มีความแห้งแล้งของทุกปีและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ปัญหาฝุ่นละอองมีความรุนแรงมากขึ้น คือ ชั้นบรรยากาศมีอุณหภูมิผกผัน (Temperature Inversion Layer) ส่งผลให้ฝุ่นละอองไม่สามารถเคลื่อนตัวจากผิวพื้นขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือขึ้นไปได้
อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปัญหาดังกล่าวหลายหน่วยงานในประเทศไทยได้ศึกษาและหาแนวทางการช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบกันมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การปล่อยละอองน้ำจากยอดตึกสูง การใช้สารเคมีเพื่อลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศ การพ่นละอองน้ำจากพื้นดินขึ้นไปในอากาศ และการปฏิบัติการฝนหลวง ซึ่งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นอีกหนึ่งในหน่วยงานที่เห็นถึงความสำคัญของการช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ดังนั้นจึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มีแนวคิดทดสอบและวิจัยการประยุกต์ใช้อากาศยานกรมฝนหลวงและการบินเกษตรสำหรับพ่นละอองน้ำแรงดันสูงเพื่อควบคุมและบรรเทาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ระดับความสูง 5,000-6,000 ฟุต หรือประมาณ 2,500-2,700 เมตร โดยเป็นการปรับปรุงอุปกรณ์ท่อโปรย (Air scoop) ติดตั้งบนอากาศยานชนิด CASA และ CN-235 พร้อมติดตั้งเครื่องพ่นสเปรย์ฉีดน้ำแรงดันสูง (Air Pump, Water Pump, Pressure Line & Nozzle) รับการป้อนน้ำจากเครื่องยนต์ดีเซลพร้อมปั๊มแรงดันสูง
ทั้งนี้มีถังบรรจุน้ำ INTERMEDIATE BULK CONTAINER หรือ IBC ที่มีคุณสมบัติด้านน้ำหนักเบา จำนวน 3 ถัง ขนาด 500 ลิตร จำนวน 2 ถัง และขนาด 1,000 ลิตร จำนวน 1 ถัง พร้อมโครงเหล็ก ติดตั้งไว้ตรงกลางลำตัวเครื่องบิน ด้วยอุปกรณ์ Load Control Safety Equipment เพื่อให้ถังน้ำไม่เกิดการเคลื่อนไหวเมื่ออากาศยานทำการไต่ระดับไปที่เพดานการบิน หรืออยู่ภายใต้สภาวะการบินที่แปรปรวน เช่น สภาพอากาศไม่คงที่ สั่นสะเทือน การเร่งความเร็ว หรือการลงจอดฉุกเฉิน โดยยึดตึงด้วยอุปกรณ์มาตรฐานอากาศยาน Tiedown Fitting เพื่อความปลอดภัย
สำหรับขั้นตอนการทำงานการพ่นละอองน้ำ จะนำถังน้ำ จำนวน 3 ถัง บรรจุน้ำปริมาตรรวม 2,000 ลิตรต่อถึงกัน โดยจะต่อท่อน้ำออกจากถังบรรจุน้ำขนาด 1,000 ลิตร เพื่อป้อนให้กับปั๊มแรงดันสูง น้ำจะถูกเพิ่มแรงดันและส่งผ่านท่อไปยังหัวฉีด 12 หัว ที่ถูกติดตั้งไว้ที่ท่อโปรยใต้เครื่องบิน โดยมีอัตราการไหลของน้ำ 40 ลิตรต่อนาที ซึ่งจากการทดสอบที่ผ่านมา พบว่า การกระจายตัวของละอองน้ำที่ภาคพื้น หัวฉีดสามารถทำระยะการพ่นไกลได้สูงสุดถึง 10 เมตร และครอบคลุมพื้นที่ 100 ตารางเมตร ที่ระดับการบินความสูง 5,000-6,000 ฟุต
โดยจะดำเนินการปล่อยละอองน้ำเป็นระยะเวลา 50 นาทีต่อรอบการปฏิบัติภารกิจ โดยคาดว่าละลองน้ำที่พ่นออกมาจากตัวอากาศยานกรมฝนหลวงและการบินเกษตรจะเป็นละอองน้ำที่มีขนาดเล็กอานุภาคใกล้เคียงกับฝุ่น PM2.5 ทำให้มีความสามารถในการดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กแล้วทำให้เกิดน้ำหนักก็จะหล่นลงมาสู่พื้นดินได้ ก็จะช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้การประยุกต์ใช้อากาศยานกรมฝนหลวงและการบินเกษตร สำหรับปฏิบัติภารกิจพ่นละอองน้ำ เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองในอากาศควบคู่ไปกับการปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อให้การช่วยเหลือเกิดประสิทธิภาพต่อประชาชนอย่างสูงสุด
ทั้งนี้เครื่องบิน จากศูนย์ฝนหลวงพื้นที่อื่นจะถูกโยกมาปฏิบัติภาระกิจนี้รวมกับเครื่องของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ รวม 10 ลำ ซึ่งจะมีการวางแผนขึ้นบินพร้อมกันเพื่อปูพรมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เริ่มต้นจะเน้นพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ก่อน โดยคาดว่าจะเริ่มปฏิบัติการได้ในวันที่ 19 เมษายนนี้ จนกว่าสถานการณ์หมอกควันจะคลี่คลาย นอกจากนี้แล้วในช่วงสรงกรานต์แม้จะเป็นวันหยุด แต่ฝนหลวงไม่หยุดยังจะขึ้นบินสรางฝนหลวงแก้ปัญหาภัยแล้ว และช่วยบรรเทาสถานกาาณ์หมอกควันอย่างต่อเนื่อง