
DAY 4 : 17 เม.ย.61
วันพิชิตฝัน
มาถึงตอนสุดท้ายแล้วนะครับ วันที่สี่ของการเทรคกิ้งตามความฝัน วันนี้ผมตื่นมากับสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากเนื่องจากช่วงกลางดึกที่ผ่านมานั้นเกิดฝนตกหนัก แต่โชคดีที่ช่วงเช้า สภาพอากาศแจ่มใสท้องฟ้าเปิด ทำให้สังเกตเห็นยอดเขามัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) ได้อย่างชัดเจนจนแทบที่ว่ามันอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
และเราจะได้เจอ ยอดเขามัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) รอต้อนรับก่อนจะขึ้นถึง Annapurna Base Camp อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นเป็นความฝันหนึ่งที่ผมตั้งใจเดินทางมาทริปนี้ เพื่อยืนเผชิญหน้ากับยอดเขานี้ให้ได้แบบใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากที่ทำธุระส่วนตัว รับประทานอาหารเสร็จ เตรียมของพร้อมแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะต้องเดินทางกันอีกครั้งจาก Deurali เพื่อมุ่งหน้าสู่ Annapurna Base Camp จุดสูงสุดของทริปนี้
หรือที่เรียกกันว่า “หลังคาโลก” ที่ความสูง 4,130 เมตร และแม้จะเป็นวันที่เราเดินทางถึงจุดหมายก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็นประกอบกับระดับความสูงที่เกิน 3,000 เมตร ไปแล้วนั้นยิ่งทำให้การเดินทางยากลำบากขึ้นไปอีก เพราะสภาพความกดอากาศต่ำ ที่เราต้องหายใจลำบากมากขึ้น อีกทั้งเส้นทางขึ้นเขาที่ต้องไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ร่างกายของเรานั้นเหนื่อยหอบเร็วขึ้น การเดินเพียง 100 เมตร ก็ทำให้เหนื่อยยิ่งกว่าเส้นทางที่ผ่านๆ มา
แต่ความตั้งที่จะไปให้ถึงเป้าหมายย่อมทำให้เกิดความมุ่งมั่น เรายังคงเดินกันอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดเขามัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า จนในที่สุดหลังเดินทางฝ่าฝันอุปสรรค์ทั้งเส้นทางและสภาพอากาศยาวนานกว่า 4 ชม. สุดท้ายผมก็ได้มายืนประชันหน้ากับ ยอดเขามัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) สุดยอดเทือกเข้าที่มีความสูง 6,977 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เมื่อถึงตรงจุดนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า ภาพและบรรยากาศทุกอย่างสวยงามดังดินแดนสวรรค์ จากอาการเหนื่อยล้าที่ต้องเผชิญกับเส้นทาง
และสภาพอากาศที่ตรากตรำเดินทางมาทั้งหมด เมื่อมาถึงจุดนี้ทุกอย่างกลับหายไป มีเพียงความประทับใจและความสวยงามของธรรมชาติที่เสมือนให้รางวัล และการต้อนรับ แต่นั้นก็ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จของทริปนี้ เพราะจากบริเวณ Machhapuchre Base Camp (ความสูง 3,700 เมตร) เรายังจะต้องเดินไปยัง Annapurna Base Camp ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย ที่มีระยะทางห่างไปอีกประมาณ 3 กม. แต่บอกเลยว่า 3 กม.สุดท้ายนั้นเป็นระยะทางแห่งการวัดใจเลยก็ว่าได้ เพราะการเดินยิ่งหนักขึ้นไปอีก ถึงแม้จะมองเห็น Base Camp อยู่แค่ตรงหน้า แต่เมื่อเราเดินไปกลับเหมือนว่ามันวิ่งห่างออกไปอีก นอกจากนี้การเดินเร็วยังทำให้เราเหนื่อยมากขึ้น เพราะอากาศที่เบาบาง ผมพยายามเดิน และแวะพักอยู่หลายครั้ง
จนกระทั่งพาตัวเองมาถึงจุดหมาย ซึ่งมีป้าย Annapurna Base Camp รอต้อนรับ เปรียบเสมือนนักวิ่งระยะไกลที่กำลังวิ่งเข้าเส้นชัย และมี Base Camp อยู่ห่างไปอีกประมาณ 300-400 เมตรสุดท้าย ที่เราต้องเดินต่อไปอีก โดยบนนั้นเองที่เทือกเขา Annapurna ส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยที่มีความสูงถึง 8,091 เมตร ตั้งตระหงานรอต้อนรับพร้อมกับเทือกเขาบริวารที่รายล้อม และนั่นเองที่เป็นจุดที่จะทำให้ความฝันของผมเป็นจริง หลังจากที่เราถ่ายภาพบริเวณป้ายต้อนรับเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ไม่รอช้าที่จะเดินต่อเพื่อมุ่งหน้าไปหา Annapurna และในที่สุดเราก็มาถึง แต่ก็ต้องอดมองเห็นเทือกเขา Annapurna ได้อย่างชัดเจนเพราะสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจท้องฟ้าปิด
และบอกได้เลยว่าข้างบนนี้ สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เราเก็บของและนอนพักอยู่นั้นจู่ๆ ก็เกิดมีหิมะตกลงมา สร้างความตื่นเต้นให้กับผมอีกครั้ง และไม่รอช้าที่จะออกมาสัมผัสกับหิมะแรกบนเทือกเขาหิมาลัย จากนั้นอากาศก็เปลี่ยนแปลงอีก กลายเป็นมีแสงของดวงอาทิตย์ส่องสว่างขึ้นมา ทำให้พวกผมได้มองเห็นยอดเขาต่างๆ ได้และไม่รอช้าที่จะบันทึกภาพความประทับใจนี้ไว้ ซึ่งบอกได้เพียงคำเดียวว่ามันสวยงาม และคุ้มค่ากับความยากลำบากที่เราตรากตรำเดินทางมาตลอดทั้ง 4 วัน
ขณะที่เราต้องพักแรมด้านบนนี้ 1 คืน ก่อนที่จะเดินทางกลับในวันรุ่งเช้า ซึ่งสภาพอากาศนั้นหนาวเย็นมากจนช่วงเช้า ผมตื่นมาพร้อมกับสภาพอากาศท้องฟ้าเปิดนั่นเป็นโอกาสดีและโอกาสที่มีไม่มาก ผมตัดสินใจเดินไปยังจุดชมวิวด้านหน้าเทือกเขา Annapurna ประชันหน้ากับสุดยอดเทือกเขาแห่งนี้พร้อมทั้งโบกธงไทยเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าวันนี้ผมได้ทำสำเร็จและได้มายืนยังจุดนี้แล้ว
บอกได้เลยว่าอารมณ์ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเราได้ทำความฝันให้มันสำเร็จกลายเป็นจริงขึ้นมาซึ่งมันจะเป็นประสบการณ์และความประทับใจที่ผมไม่มีวันลืมไปจนวันตาย……….ก่อนที่ผมจะใช้เวลาในการเดินทางลงจากเทือกเขาอีก 3 วันเต็ม โดยสรุประยะเวลาในภารกิจพิชิตหลังคาโลกในครั้งนี้แล้วทั้งหมด 7 วัน แต่นั้นก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนและเวลาที่เสียไปแล้ว
สรุปค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับทริปนี้####
-ค่าตัวเครื่องบินทั้งขาไปและกลับ ทั้งหมดประมาณ 17,000 บาท โดยบินจากเชัยงใหม่ไปลง สนามบิน Kuala Lumpur ประเทศมาเลเซีย แล้วต่อเครื่องมายัง สนามบิน Kathmandu ที่ประเทศเนปาล และขากลับที่เดินทางจาก สนามบิน Kathmandu ที่ประเทศเนปาล มาลงยัง สนามบิน Kuala Lumpur ประเทศมาเลเซีย ก่อนจะต่อเครื่องกลับมาที่เชียงใหม่
-ค่าจ้างไกด์ , ลูกหาบ โดยการติดต่อผ่าน ทัวร์ของบริษัท ADVENTURE HIMALAYA CIRCUIT TREKS ทั้งหมด 550 USD. หรือประมาณ 17,000 บาท โดยจะมีค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ทั้งหมดรวมแล้ว ยกเว้นของที่เราซื้อกินระหว่างทาง
-ทิปให้ไกด์ , ลูกหาบ หลังจบทริป ซึ่งตรงนี้บอกเลยว่าแล้วแต่ดุลยพินิจและความพึงพอใจในการให้บริการ โดยทริปนี้ผมและเพื่อนร่วมเดินทางได้ลงขันกันเป็นเงินทั้งหมด 11,000 รูปี หรือประมาณ 3,000 กว่าบาท ให้เป็นทิป
-เงินทีใช้ในระหว่างการเดินทางตรงนี้ผมแลก 200 USD. ได้มาทั้งหมด 20,600 รูปี หรือประมาณ 6,000 กว่าบาท (100 รูปี = ประมาณ 30 บาท) สามารถใช้ได้ตลอดการเดินทาง ซึ่งได้ซื้อของฝาก และอุปกรณ์ที่ไม่ได้เตรียมมา
-เงินที่ใช้ระหว่างรอต่อเครื่องที่ประเทศมาเลเซีย ผมแลกทั้งหมด 1,000 บาท ก็ใช้ได้แทบจะไม่หมด เพราะเราใช้ทานข้าวช่วงที่รอต่อเครื่องเท่านั้น
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 44,000 บาท สำหรับทริปนี้####
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมา ณ. ที่นี้ครับ
……………………………………….
วีรศักดิ์ ปัญญาโชติ เรื่องและภาพ